แสนสิริโชว์ครึ่งปีแรก รายได้ร่วม 2 หมื่นล้าน กำไรโตพุ่ง 2,700 ล้าน ยืนหนึ่งหุ้นปันผลสูง

<p></p><p>แสนสิริ รักษาระดับการเติบโต เผย 6 เดือนแรกทำยอดขาย 25,000 ล้านบาท รายได้ร่วม 20,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท จากผลงาน Sold Out 19 โครงการ มูลค่า 15,200 ล้านบาท ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.07 บาทต่อหุ้น รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท</p><p> วันที่ 15 สิงหาคม 2567 นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก</p><p> โดยสามารถสร้างยอดขายรวม 25,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้จำนวน 52,000 ล้านบาท</p><p> ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 43,000 บาท เติบโต 8% เทียบกับครึ่งปีแรก 2566 มีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของ ปี 2567 (ไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท, ไตรมาส 2/67 กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท)</p><p> อนึ่ง หากพิจารณาด้านกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (Core Profit) พบว่าเติบโตขึ้น 5% (เทียบ Year on Year)</p><p> จากกลยุทธ์ในการรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้นจากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้แสนสิริ ติดอันดับ 1 ในหุ้นกลุ่ม SETHD ที่จ่ายปันผลสูง (ข้อมูล ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 11.38%)</p><p> โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2567 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2567</p><p> โดยการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการที่ดีของแสนสิริในอนาคต</p><p> ทั้งนี้ ความสำเร็จในครึ่งปีแรก 2567 มาจากบริษัทสามารถ Sold Out รวม 19 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท อาทิ BuGaan (บูก้าน) พระราม 9-เหม่งจ๋าย, เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี, เอ็กซ์ที เอกมัย</p><p> รวมถึง Business Model ใหม่ กับ Exclusive Residence ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Niche Market ด้วยโครงการขนาดเล็ก ยูนิตน้อย บน Prime Location ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย Sold Out อย่างรวดเร็ว เช่น ELSE (เอลซ์) กรุงเทพกรีฑา</p><p> และ PYNN (พินน์) เริ่มโครงการแรกที่ PYNN ปรีดี 20 มียอดขายแล้วถึง 80% จ่อคิว Sold out พร้อมส่งต่อความสำเร็จให้โครงการล่าสุด PYNN ศูนย์วิจัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก</p><p> ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่ใน Strategic Location ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ อณาสิริ พายัพ เปิดตัวเป็นทางการเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขาย 50% ของโครงการ และเศรษฐสิริ รวมโชค เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถปิดการขายเฟสแรกหมด 100%</p><p> รวมถึง mekin HAUS (เมคิน เฮาส์) แบรนด์ HAUS โครงการแรกในเชียงใหม่และต่างจังหวัด พร้อมไฮไลต์คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกในเชียงใหม่ ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน</p><p> รวมถึงพอร์ตบ้านเดี่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง จากรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรีและซูเปอร์ลักเซอรี ทั้งการโอนต่อเนื่องของโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และนาราสิริ พหล – วัชรพล ที่มียอดขายที่ดี</p><p> การต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยว “เศรษฐสิริ” ทำให้ต้องเปิดจองเฟสใหม่ 4 ทำเลฮอต ได้แก่ ราชพฤกษ์ – รามอินทรา – บางนา – ดอนเมือง</p><p> ทางด้านคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม อาทิ เอ็กซ์ที พญาไท และ เดอะ เบส ไฮท์ เชียงใหม่ ที่กลุ่มลูกค้าเชียงใหม่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริตลอดมา รวมทั้งการจัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาดที่เข้มข้น จากกลยุทธ์การรักษายอดขายที่ดี</p><p> ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Joint Venture ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการโอนคอนโดมิเนียมเดอะ ไลน์ ไวบ์ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง แสนสิริ และ แรบบิท โฮลดิ้งส์ ในกลุ่มบีทีเอส คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่มียอดขายแล้วกว่า 70% สุดยอดทำเลศักยภาพตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว</p><p> สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไร และรักษาระดับการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา</p><p> สำหรับแผนลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริ มีแผนเปิดตัว 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท ไฮไลต์แนวราบ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ คือ “ณริณสิริ” (Narinsiri) บ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ระดับพรีเมียม (ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา และณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา) ราคาเริ่มต้นที่ 40-80 ล้านบาท พร้อมเปิดชมปลายปีนี้</p><p> ถัดมาคือ “เมเบิล” (Mabel) ทำเลแรกเมเบิล บางนา 26 ใกล้ทางด่วน นำเสนอบรรยากาศความเป็นส่วนตัวเพียง 105 ยูนิต ราคา 6–8 ล้านบาท</p><p> ทางด้านคอนโดมิเนียมเปิดตัว Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ดีคอนโด เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงาน มีดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมสูง</p><p> และไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวโครงการบนสุดยอดทำเลศักยภาพในย่าน CBD บนทำเลสุขุมวิท ได้แก่ เวีย 61 ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ Aesthetic Collection อีกหนึ่งโครงการใหม่จากซีรีส์ One of a Kind Project โดดเด่นบนทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 36</p><p> นอกจากนี้ ไฮไลต์ในช่วงสิ้นปี แสนสิริเตรียมเปิดโปรเจกต์ใหญ่ ปักธงภูเก็ต ต้อนรับ High Season ในช่วงไฮซีซันตอนสิ้นปี ในย่านบางเทา-เชิงทะเล ซึ่งเปรียบเสมือนย่านทองหล่อในภูเก็ตอีกด้วย</p><p> “จากภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากกว่าครึ่งปีแรก แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 127,000 ล้านบาท ส่งผลให้การดำเนินงานทั้งในด้านยอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้””</p><p> นายวิชาญกล่าวตอนท้ายว่า แสนสิริขอบคุณลูกค้าทุกท่านและประชาชน เชื่อมั่นแสนสิริ แบรนด์อันดับ 1 กลุ่มอสังหาฯ ซึ่งผลสำเร็จในครึ่งปีแรก ส่วนสำคัญมาจาก Branding ที่แข็งแกร่ง ที่ผู้บริโภคให้ความมั่นใจสูงสุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย</p><p> กับรางวัลใหญ่แห่งปี Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศในทุก เซ็กเมนต์(บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม) ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษามาตรฐานการครีเอทผลงานบนโซเชียลมีเดียที่โดดเด่น รักษาตำแหน่ง No. 1 Thailand Socia Awards คะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีไว้ได้อีกด้วย</p><p style="font-size:13px;">15/8/2567 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ( 15 สิงหาคม 2567 )</p>